การประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของบางองค์ประกอบของ
ป่าดิบชื้น กรณีศึกษา ป่ากราด อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
ป่าดิบชื้น กรณีศึกษา ป่ากราด อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
ประภาพรรณ กำภู
วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของป่ากราดโดยศึกษาลักษณะการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่วิจัย
และประเมินออกมาเป็นตัวเงิน ซึ่งการศึกษาดำเนินการโดยการวิจัยเชิงสำรวจ
การเก็บข้อมูลปฐมภูมิดำเนินการโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 3 ฉบับ
คือ 1) แบบสอบถามผู้ใช้ประโยชน์จากป่ากราดด้านผลผลิตในรูปของของป่า
จำนวน 247 ชุด 2) แบบสอบถามผู้ใช้ประโยชน์จากป่ากราดด้านการศึกษาวิจัย
จำนวน 4 ชุด และ 3) แบบสอบถามผู้ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากป่ากราดเพื่อประเมินมูลค่าเผื่อจะใช้และมูลค่าการคงอยู่ของป่ากราด
จำนวน 400 ชุด
การประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของป่ากราด ประกอบด้วยมูลค่าการใช้ประโยชน์และมูลค่าการมิได้ใช้ประโยชน์
ซึ่งมูลค่าการใช้ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ 1) มูลค่าปริมาณไม้
ประกอบด้วยมูลค่าไม้ใหญ่ ทำการประเมินด้วยวิธีราคาตลาด และมูลค่าลูกไม้และกล้าไม้
ทำการประเมินด้วยวิธีต้นทุนทดแทน 2) มูลค่าผลผลิตในรูปของของป่า
ทำการประเมินด้วยวิธีราคาตลาด และ 3) มูลค่าการศึกษาวิจัย
ประเมินจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
มูลค่าการใช้ประโยชน์ทางอ้อมจากป่ากราดในด้านการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ประเมินจากค่าใช้จ่ายในการป้องกัน (preventive expenditure)
ส่วนมูลค่าเผื่อจะใช้ประโยชน์ในอนาคตจากป่ากราด ประเมินด้วยวิธี Contingent
Valuation Method (CVM) โดยใช้คำถามแบบเปิด
สำหรับมูลค่าการมิได้ใช้ประโยชน์ทำการประเมินเฉพาะมูลค่าการคงอยู่ โดยใช้วิธี
CVM และใช้คำถามแบบเปิดเช่นเดียวกัน
ผลการประเมินมูลค่าพบว่า การใช้ประโยชน์จากป่ากราดด้านปริมาณไม้ ในปี 2543
กรณีไม้ใหญ่ มีมูลค่าสุทธิเท่ากับ 286,698,370.61 บาท กรณีลูกไม้และกล้าไม้ มีมูลค่าเท่ากับ 47,109,707.11 บาท การใช้ประโยชน์ในด้านผลผลิตในรูปของของป่า
มีมูลค่าผลประโยชน์สุทธิรายปีเท่ากับ 675,045.01 บาทต่อปี
การใช้ประโยชน์ด้านการศึกษาวิจัย มีมูลค่าเท่ากับ 791,813.82 บาท มูลค่าการใช้ประโยชน์ในด้านการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มีมูลค่าเท่ากับ 3,615,945.36 บาทต่อปี ส่วนมูลค่าเผื่อจะใช้
มีมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเฉลี่ยเท่ากับ 141.77 บาทต่อคนต่อปี
และมูลค่าการมิได้ใช้ประโยชน์ กรณีมูลค่าการคงอยู่ มีมูลค่าความเต็มใจที่จะจ่ายเฉลี่ย
เท่ากับ 128.23 บาทต่อคนต่อปี
ญัตติพงศ์ แก้วทอง
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของป่าชายเลนในชุม
ชนโคกพยอม อำเภอละงู จังหวัดสตูล โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
และเพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
ของชุมชนโคกพยอม พื้นที่ป่าชายเลน 1,250 ไร่ โดยมีวิธีการประเมินมูลค่า ดังนี้ 1) มูลค่าปริมาณไม้ ประกอบด้วยมูลค่าไม้ใหญ่
ประเมินด้วยวิธีราคาตลาดและจากการเปรียบเทียบการผลิตถ่านจากเนื้อไม้
มูลค่าไม้หนุ่มและกล้าไม้ประเมินด้วยวิธีราคาตลาด 2)
มูลค่าการใช้ประโยชน์ด้านการเก็บผลผลิตจากป่าและผลผลิตจากการประมงในบริเวณ
ป่าชายเลนได้จากการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากครัวเรือนทั้งหมดในชุมชนโคก พยอม 132
ครัวเรือนและประเมินมูลค่าด้วยวิธีราคาตลาด
การส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชน
ซึ่งมีแกนนำชุมชนจำนวน 30 คน เข้าร่วมโดยความสมัครใจ
มีขั้นตอน ดังนี้ 1)
การมีส่วนร่วมในการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของชุมชน 2)
การมีส่วนร่วมในการสร้างทีมวิจัยชุมชน โจทย์วิจัย
และสร้างความเข้าใจร่วมกันในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 3) การมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านการประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์
4) การมีส่วนร่วมในการสำรวจปริมาณไม้ในป่าชายเลน 5) การมีส่วนร่วมในการสร้างเครื่องมือในการวิจัย 6)
การมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูล 7)
การมีส่วนร่วมวิเคราะห์ข้อมูล 8) การมีส่วนร่วมวางแผนการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
ผลการประเมินมูลค่าพบว่า
มูลค่าสุทธิของปริมาณไม้ทั้งหมดในป่าชายเลนชุมชนโคกพยอมคำนวณด้วยราคาตลาด
ท้องถิ่นของไม้ใหญ่ ไม้หนุ่มและกล้าไม้เท่ากับ 176,653,724.58 บาท หรือ 141,322.98 บาทต่อไร่
และมูลค่าสุทธิคำนวณด้วยราคาตลาดเปรียบเทียบจากการผลิตถ่านไม้ของไม้ใหญ่และราคาตลาดท้องถิ่นของไม้หนุ่มและกล้าไม้เท่ากับ
114,094,534.14 บาท หรือ 91,275.63 บาทต่อไร่ , มูลค่าการใช้ประโยชน์ทางตรงของป่าชายเลน
ประกอบด้วยมูลค่าการเก็บผลผลิตของป่าชายเลนเท่ากับ 469498.75
บาทต่อปี หรือเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 3,556.81 บาทต่อครัวเรือน
และมูลค่าผลผลิตด้านการประมงในบริเวณป่าชายเลนเท่ากับ 4,822,290.29 บาทต่อปี หรือเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 36,532.50
บาทต่อปีต่อครัวเรือน ต้นทุนรวมทั้งหมดของการใช้ประโยชน์ทางตรง เท่ากับ 2,838,354.19 บาทต่อปี
หรือเฉลี่ยต้นทุนต่อครัวเรือนเท่ากับ 21,502.68 บาทต่อครัวเรือนต่อปี สรุปมูลค่าสุทธิทั้งหมดของการใช้ประโยชน์ทางตรงเท่ากับ 2,838,354.19 บาทต่อปี หรือมีมูลค่าเท่ากับ 2,270.68 บาทต่อไร่ต่อปี หรือมีมูลค่าเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 21,502.68 บาทต่อครัวเรือนต่อปี
ผลการส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ในการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุม
ชนโคกพยอม พบว่า
ชาวบ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและ กัน
ชาวบ้านรู้สึกความภาคภูมิใจในข้อมูลที่ตนเองร่วมกันแสดงความคิดเห็นซึ่งนำไป
สู่ความรู้สึกรักและเป็นเจ้าของงานวิจัย
รวมทั้งทีมวิจัยชุมชนได้รู้จักข้อมูลพื้นฐานของชุมชนตนเอง
ทีมวิจัยชุมชนเข้าใจคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คือ
คุณค่าของป่าชายเลนมีประโยชน์ทางตรงและคุณค่าประโยชน์ทางอ้อม ทีมวิจัยทราบถึง
วิธีการสำรวจต้นไม้ ชนิดพันธุ์ไม้ และจำนวนของต้นไม้ทั้งหมดในป่าชายเลน
ส่งผลให้ทีมวิจัยชุมชนโคกพยอมทราบถึงศักยภาพของทรัพยากรป่าชายเลนในชุมชนว่า
มีปริมาณไม้และมูลค่าของไม้ในป่าชายเลน
ทีมวิจัยชุมชนสามารถนำหลักการการเก็บข้อมูลไปใช้ในการทำงานวิจัยในอนาคต
ชุมชนเห็นศักยภาพของป่าชายเลนว่ามีผลประโยชน์เป็นอย่างมากต่อชุมชน
ทำให้ชุมชนรักและหวงแหนป่าชายเลนของตนเอง
ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการโดยชุมชนเพื่อให้ประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ทีมวิจัยต้องการจะให้ผลการวิจัยด้านมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของป่าชาย
เลนเป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์กับโครงการต่างๆ ที่อาจเกิดผลกระทบต่อป่าชายเลนของชุมชนโคกพะยอม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น